วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความรู้เรื่อง พ.ร.บ.คอมฯ 50

พ.ร.บ.คอมฯ 2550
รู้ไว้ใช่ว่า..ไม่ยากอย่างที่คิด เคล็ดไม่ลับกับความรู้เรื่องพ.ร.บ.คอมฯ 50
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 10 มิ.ย. 2550 เป็นปีที่ 62 ในรัชกาลปัจจุบัน
ข้อตกลงร่วมกันสำหรับการใช้บริการเว็บไซต์
งดการโพสต์อีเมลและหมายเลขโทรศัพท์ ทั้งของตนเองและของบุคคลอื่น เนื่องจากเว็บไซต์เป็นพื้นที่สาธารณะที่มีบุคคลทั่วไปเข้ามาใช้บริการติดต่อสื่อสาร ซึ่งข้อมูลดังกล่าว อาจทำให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์กับผู้ใช้บริการได้
การใส่linkเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ภายนอกที่เข้าข่ายเป็นเว็บไซต์ละเมิดต่อพ.ร.บ.คอมฯ50
งดการโพสต์รูปภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และรูปภาพที่ส่งผลเสียหายต่อบุคคลอื่น
พ.ร.บ. คอมฯ ๕๐ มีอยู่ทั้งหมด 17 มาตรา ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว เราจะนับกันตั้งแต่มาตราที่ 5-17
ที่สำคัญไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าผู้ท่องเว็บอย่างเราจะทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ใครที่ชอบเผยแพร่ภาพโป๊ เปลือย อนาจาร ตัดต่อภาพลับดารา แม้กระทั่งเก็บไว้เผยแพร่ก็มีสิทธิ์..ติดคุก..
เรื่องของดาราใครๆ ก็อยากรู้จริงไหม ที่เห็นกันชัดๆ ข่าวส่วนมากมักจะเป็นพวกการตัดต่อภาพ และนำเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต การกระทำเช่นนี้ทำให้ดาราหรือบุคคลที่อยู่ในภาพเกิดความเสียหายและได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิต พ.ร.บ.คอมฯ มาตราที่ 16 จึงถือเป็นมาตราที่ปกป้องสิทธิ์ของคนที่ถูกตัดต่อภาพ ให้มีสิทธิ์สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ทำการตัดต่อ เผยแพร่ และเก็บภาพเหล่านั้นไว้เป็นส่วนตัว
2. เจ้าของเว็บไซต์ที่ปล่อยปะละเลย ก็อาจมีความผิดได้
ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ ก็ต้องไม่ปล่อยปะละเลยให้มีผู้เข้ามาก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นหรือกระทำความผิดบนเว็บไซต์ของท่านได้ มิเช่นนั้น ท่านก็จะมีความผิดตามผู้เข้ามาใช้บริการตามไปด้วย
             3. เข้ามาทำผิด แม้อยู่นอกประเทศไทยก็อาจมีสิทธิ์ถูกจับได้
ไม่จำกัดแต่เพียงบ้านเราเท่านั้น แม้อยู่ห่างไกลเพียงไหน หากกระทำความผิด คุณสามารถที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีความได้ โดยจำเป็นต้องประสานงานไปยังประเทศนั้นๆ โดยพิจารณาความผิดตามกฎหมายในประเทศนั้นๆ
4. สำหรับคนอยากรู้อยากเห็นข้อมูลของผู้อื่น ฟังให้ดี
เพียงแค่ล่วงรู้ข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เสียมารยาทอยู่แล้ว ยิ่งหากลักลอบเข้าไปนำข้อมูลออกมาเผยแพร่ และก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง อย่างนี้เรียกว่า การโจรกรรมอย่างไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด
5. ผู้ที่ชอบแกล้งและก่อความรำคาญให้ผู้อื่น ก็ผิดนะ
การส่งเมลขยะให้ผู้อื่น สามารถถูกเอาความผิดได้ หากเข้าข่ายกรณีดังต่อไปนี้
- ส่งต่ออีเมลที่เป็นไวรัส ทำให้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ โทษ คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ส่งจดหมายบุกรุก หรือที่เรียกว่า สแปมเมล โดยไม่ได้ระบุว่าส่งมาจากใคร ส่วนมากจะเป็นพวกขายสินค้าหรือการโฆษณา โทษ คือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
- หากการกระทำทั้งสองข้อข้างต้น ไปทำให้มีผู้เสียหาย ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ ต่อระบบ เศรษฐกิจ และบริการสาธารณะ โทษ คือ จำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 – 300,000 บาท
- ผู้ที่ผลิต จำหน่ายโปรแกรมให้กับผู้ที่นำไปก่อให้เกิดความเสียหาย โทษ คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. การส่งต่อข้อมูลให้เพื่อน ข้อนี้ก็ต้องระวัง มีเพียง 4 ข้อที่อยากให้ลองอ่าน ก่อนคิดส่งต่ออีเมลนั้นๆ
- มีลักษณะลามกอนาจารหรือไม่
- ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือไม่
- สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนทั่วไปหรือไม่ เช่น ภัยโรคระบาด เป็นต้น
- ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่
*** ซึ่งหากเข้าข่าย 4 ข้อนี้ คงไม่ต้องบอกว่าควรจะทำอย่างไรกับอีเมลหรือข้อความนั้น แต่หากยังส่งต่อออกไปอีกแล้วล่ะก็ โทษ คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



    ******ผมคิดว่าหลายท่านคงเบื่อกับการนั่งอ่าน พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่ดูเป็นทางการ ดูเครียดๆ ถึงแม้จะอ่านไปบ้างแล้วแต่ก็อ่านไม่จบซักที วันนี้จึงได้นำ พรบ. ที่ดูแล้วสบายตามากกว่าเดิมมาให้ลองอ่านกัน จะได้รับทราบเกี่ยวข้อควรปฏิบัติ และสิ่งที่อาจเป็นภัยต่อตัวท่านได้ ลองอ่านดูนะครับ******


วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความรู้เรื่องบล็อก

Blog คืออะไร

มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไรกันดีกว่าครับ
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
อ่านจบบทความนี้ คิดว่าหลาย ๆ ท่านน่าจะเข้าใจว่า Blog คืออะไร เพิ่มขึ้นมากแล้วนะครับ